CI/CD ตัวช่วยให้ Developer ทำงานง่ายขึ้น

CI/CD ตัวช่วยให้ Developer ทำงานง่ายขึ้น image

ในยุคที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การพัฒนาซอฟต์แวร์ต้องมีความรวดเร็ว แม่นยำ และพร้อมรับการเปลี่ยนแปลง CI/CD (Continuous Integration / Continuous Deployment) กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้นักพัฒนาและทีม DevOps ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความผิดพลาด และเพิ่มความเร็วในการส่งมอบซอฟต์แวร์สู่มือผู้ใช้งาน

 

 

 

สิ่งที่ควรรู้สำหรับ CI/CD ตัวช่วยให้ Developer ทำงานง่ายขึ้น

  • CI/CD คืออะไร ?
  • ความแตกต่างระหว่าง CI/CD 
  • ข้อดีของ CI/CD ที่ช่วยให้งานง่ายขึ้น
  • ทำไม CI/CD ถึงสำคัญ
  • ประโยชน์ของการใช้ CI/CD 
  • วิธีเลือกเครื่องมือ CI/CD ให้เหมาะสม
  • ตัวอย่างการใช้ CI/CD ในการช่วยทำงาน

 

 

 

 

CI/CD คืออะไร

CI/CD เป็นแนวคิดและกระบวนการที่ช่วยให้งานพัฒนาซอฟต์แวร์มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยรวมเอาการทำงานสองส่วนสำคัญเข้าไว้ด้วยกัน

  • Continuous Integration (CI) เป็นกระบวนการที่นักพัฒนารวมโค้ดจากแต่ละคนเข้าด้วยกันอย่างต่อเนื่อง เมื่อโค้ดถูก Merge เข้ากับ Main Branch ระบบจะทำการ Build และรัน Automated Test โดยอัตโนมัติ เป้าหมายคือการตรวจสอบว่าโค้ดจากนักพัฒนาหลายคนสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างไม่มีปัญหา
    ตัวอย่าง : สมมุติว่าทีมพัฒนามีสมาชิก 5 คน แต่ละคนพัฒนาโค้ดฟีเจอร์ของตัวเอง หลังจาก Commit โค้ด CI จะช่วยตรวจสอบว่าโค้ดเหล่านั้นไม่มี Conflict และไม่มี Bug ในขั้นต้น

 

  • Continuous Deployment (CD) เป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องจาก CI เมื่อโค้ดผ่านการทดสอบแล้ว ระบบจะ Deploy ซอฟต์แวร์ไปยัง Production Environment โดยอัตโนมัติ ซึ่งช่วยลดขั้นตอน Manual และลดเวลาในการนำฟีเจอร์ใหม่ออกสู่ตลาด
    ตัวอย่าง : การอัปเดตฟีเจอร์ใหม่ในแอปพลิเคชัน E-commerce เช่น เพิ่มระบบชำระเงินใหม่ ผู้ใช้งานสามารถใช้งานฟีเจอร์นี้ได้ทันทีหลังจากผ่านขั้นตอน CD

 

 

 

 

ความแตกต่างระหว่าง Continuous Delivery กับ Continuous Deployment

  • Continuous Delivery ระบบจะ Build และทดสอบโค้ดอัตโนมัติ แต่ยังต้องการการอนุมัติจากทีมก่อน Deploy ไปยัง Production

 

  • Continuous Deployment ทุกขั้นตอนตั้งแต่การทดสอบจนถึงการ Deploy จะเป็นอัตโนมัติทั้งหมด ไม่ต้องการการอนุมัติแบบ Manual

 

 

 

ข้อดีของ CI/CD ที่ช่วยให้งานง่ายขึ้น

1. ลดความซับซ้อนใน Workflow CI/CD ช่วยลดความซับซ้อนของขั้นตอนการพัฒนา ด้วย Pipeline ที่โปร่งใสและเข้าใจง่าย

 

2. ลดการเกิดปัญหา Human Error การทำงานอัตโนมัติช่วยลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาดจากมนุษย์ เช่น การลืมทดสอบหรือการตั้งค่าผิดพลาด

 

3. ลดเวลาในการส่งมอบ Pipeline อัตโนมัติช่วยให้งานพัฒนาจบได้เร็วขึ้น จากการที่ไม่ต้องเสียเวลารอการอนุมัติหรือขั้นตอน Manual

 

4. การปรับตัวกับตลาดที่เปลี่ยนแปลง CI/CD ช่วยให้ทีมสามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของความต้องการผู้ใช้และตลาดได้รวดเร็ว

 

 

 

ทำไม CI/CD ถึงสำคัญ

ในยุค Digital Transformation องค์กรต่างต้องการนำเสนอบริการใหม่ ๆ สู่ตลาดให้เร็วที่สุด การแข่งขันด้านเวลาจึงเป็นปัจจัยสำคัญ CI/CD จึงตอบโจทย์ด้วยการช่วยลดระยะเวลาในการพัฒนาและทดสอบโค้ด ตัวอย่างที่ชัดเจน ได้แก่ การพัฒนาแอปพลิเคชัน E-commerce ที่ต้องรองรับโปรโมชั่นหรือฟีเจอร์ใหม่อย่างทันท่วงที หากไม่มี CI/CD การ Deploy ระบบอาจใช้เวลาหลายวัน ซึ่งอาจทำให้เสียโอกาสทางธุรกิจ

 

 

 

ประโยชน์ของการใช้ CI/CD 

1. ลด Technical Debt

Technical Debt หรือหนี้ทางเทคนิคมักเกิดจากการพัฒนาที่เร่งรีบหรือไม่ได้ตรวจสอบข้อผิดพลาดอย่างละเอียด การใช้ CI/CD ช่วยลดปัญหานี้ด้วยการรัน Automated Test และ Static Code Analysis อย่างต่อเนื่อง ทำให้ปัญหาในโค้ดถูกตรวจพบและแก้ไขตั้งแต่ต้นทาง

ตัวอย่าง บริษัท A ใช้ CI/CD และพบว่าอัตราการสะสม Technical Debt ลดลงถึง 40% ภายใน 6 เดือน

 

2. สร้างวัฒนธรรม DevOps ที่แข็งแกร่ง

CI/CD เป็นแกนกลางของ DevOps ที่ส่งเสริมการทำงานร่วมกันระหว่างทีมพัฒนาและทีมปฏิบัติการ ด้วย Pipeline ที่ชัดเจนและโปร่งใส ทุกฝ่ายสามารถติดตามสถานะของโปรเจกต์ได้แบบเรียลไทม์

 

3. ปรับปรุงการทำงานร่วมกับ AI/ML

การพัฒนาระบบ AI/ML มักมีการปรับแต่งโมเดลอยู่ตลอดเวลา CI/CD สามารถช่วยสร้าง Pipeline ที่รองรับการ Train และ Deploy โมเดล AI ได้อย่างต่อเนื่อง ลดเวลาการทดลองและปรับปรุงโมเดล

ตัวอย่าง บริษัท Data Science ใช้ CI/CD ในการ Deploy โมเดล Machine Learning ใหม่เข้าสู่ระบบ Production ภายในเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมง

 

4. การวิเคราะห์เชิงคาดการณ์

เครื่องมือ CI/CD ขั้นสูงบางตัวสามารถวิเคราะห์ข้อมูลการ Deploy และ Testing เพื่อคาดการณ์ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เช่น การบอกล่วงหน้าว่าโค้ดชุดใดมีโอกาสทำให้ระบบล่ม

 

 

 

 

วิธีเลือกเครื่องมือ CI/CD ให้เหมาะสม

1. การรองรับเทคโนโลยีปัจจุบัน

ตรวจสอบว่าเครื่องมือสามารถทำงานร่วมกับ Tech Stack ที่ทีมของคุณใช้อยู่ เช่น Docker, Kubernetes หรือ Cloud Platform ต่าง ๆ การรองรับระบบที่มีอยู่จะช่วยลดความซับซ้อนในการตั้งค่าและเพิ่มความรวดเร็วในการนำไปใช้

ตัวอย่าง หากทีมของคุณใช้ AWS เป็นหลัก ให้พิจารณาเครื่องมือที่รองรับ AWS เช่น CodePipeline หรือ Jenkins ที่มีปลั๊กอินเฉพาะสำหรับ AWS

 

2. ความง่ายในการตั้งค่าและการใช้งาน

เลือกเครื่องมือที่มี User Interface ใช้งานง่าย หรือมี CLI (Command Line Interface) สำหรับนักพัฒนาที่ชอบทำงานผ่าน Command Line ตรวจสอบว่ามีเอกสารประกอบที่ครอบคลุมและมีชุมชนผู้ใช้งานที่พร้อมช่วยเหลือ เช่น GitLab CI/CD, GitHub Actions หรือ CircleCI

ตัวอย่าง GitHub Actions เป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับทีมที่ใช้ GitHub Repository เพราะสามารถสร้าง Workflow ได้ในไฟล์เดียวและใช้งานร่วมกับ Repository โดยตรง

 

3. ความสามารถในการปรับขยาย

สำหรับองค์กรขนาดใหญ่ที่มีหลายโปรเจกต์ ควรเลือกเครื่องมือที่รองรับการ Scaling ได้ดี ทั้งในแง่ของจำนวน Pipeline และการรองรับทีมที่ใหญ่ขึ้น เช่น Jenkins ที่สามารถตั้งค่า Master-Slave Node เพื่อรองรับงานที่มากขึ้นได้

ตัวอย่าง บริษัทขนาดใหญ่ที่ต้องการรองรับการ Build หลายๆ Pipeline พร้อมกันสามารถใช้ Jenkins ที่ตั้งค่าแบบ Distributed Build ได้

 

4. การสนับสนุน CI/CD Pipeline แบบครบวงจร

เลือกเครื่องมือที่รองรับทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเขียนโค้ด การ Build การทดสอบ และการ Deploy เช่น GitLab CI/CD ซึ่งรวมทุกฟังก์ชันไว้ในแพลตฟอร์มเดียว ช่วยลดการเปลี่ยนแปลงระหว่างเครื่องมือ

ตัวอย่าง GitLab CI/CD ช่วยให้ทีมพัฒนาไม่ต้องย้ายไปใช้ระบบอื่น เพราะมีทั้ง CI และ CD รวมถึง Issue Tracking และ Container Registry ในตัว

 

5. ค่าใช้จ่ายและการจัดการทรัพยากร

ตรวจสอบค่าใช้จ่ายของเครื่องมือ โดยเฉพาะสำหรับองค์กรที่เริ่มต้นใหม่ ควรเลือกเครื่องมือ Open Source อย่าง Jenkins หรือเครื่องมือที่มีแผนการใช้งานฟรี เช่น GitHub Actions และ GitLab CI/CD

ตัวอย่าง Jenkins เป็น Open Source ที่ช่วยลดค่าใช้จ่าย แต่ต้องการทรัพยากรในองค์กรเพื่อการตั้งค่าและดูแลระบบ

 

6. การผสานรวมกับระบบที่มีอยู่

ตรวจสอบว่าเครื่องมือสามารถผสานรวมกับระบบ Monitoring, Alerting, หรือ Issue Tracking ที่ทีมใช้งานอยู่ เช่น Prometheus, Grafana, หรือ Jira

ตัวอย่าง การเชื่อมต่อ Jenkins กับ Jira ช่วยให้ทีมสามารถติดตามปัญหาที่เกิดขึ้นใน Pipeline ได้อย่างรวดเร็ว

 

 

 

ตัวอย่างการใช้ CI/CD ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ

1. E-commerce

ในธุรกิจ E-commerce การปรับปรุงระบบอย่างรวดเร็วเป็นสิ่งจำเป็น เช่น การเพิ่มระบบชำระเงินใหม่ หรือโปรโมชั่นตามฤดูกาล CI/CD ช่วยให้ทีมสามารถปล่อยฟีเจอร์ใหม่ได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง

 

2. Healthcare

ในอุตสาหกรรมสุขภาพ ความถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญ CI/CD ช่วยให้การพัฒนาระบบสามารถทดสอบโค้ดและมาตรฐานความปลอดภัยได้อย่างต่อเนื่อง

 

3. Gaming

เกมออนไลน์ต้องมีการอัปเดตฟีเจอร์ใหม่หรือแก้ไขบั๊กอย่างต่อเนื่อง CI/CD ช่วยให้การอัปเดตเหล่านี้ทำได้โดยไม่กระทบต่อผู้เล่น

 

 

 

CI/CD ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือ แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานของทีมพัฒนา โดยช่วยเพิ่มความเร็ว ความแม่นยำ และความมั่นใจในการส่งมอบซอฟต์แวร์ การปรับใช้ CI/CD ในองค์กรจึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว

 

 

 

บทความอื่นๆที่น่าสนใจเพิ่มเติม :

อนาคตของการพัฒนาซอฟต์แวร์อยู่ที่ AI

Agile และ DevOps กับการปรับตัวของธุรกิจในยุค AI-First

ที่มาของคำว่า Bug

Tag