UX/UI : บทบาทสำคัญของการพัฒนาธุรกิจ

การแข่งขันทางธุรกิจบนโลกออนไลน์ในปัจจุบันกลายเป็นสิ่งที่สำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะธุรกิจเล็กหรือใหญ่ ต่างก็ต้องการมุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือแบรนด์ตัวเองให้ดูโดดเด่น และเป็นจุดสนใจด้วยเหตุนี้ “UX” (User Experience) และ “UI” (User Interface) จึงกลายเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่สามารถมองข้ามได้เลย เพราะไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน หรือแพตฟอร์มอื่นๆ การออกแบบ UX/UI ที่ดีนั้นจะสามารถสร้างความแตกต่างให้กับธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ บทบาทสำคัญของ UX/UI จึงมีความสำคัญต่อการพัฒนาและช่วยส่งเสริมให้การเติบโตของธุรกิจเป็นอย่างมาก

บทบาทของ UX/UI ในการพัฒนาเว็บไซต์

UX/UI คืออะไร ?
บทบาทของ UX/UI ที่สำคัญต่อการพัฒนาเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน
กระบวนการออกแบบ UX/UI
ตัวอย่างของ UX/UI ที่ดี

UX/UI คืออะไร ?

UX (User Experience)

UX หรือ “การออกแบบประสบการณ์ของผู้ใช้งาน” คือกระบวนการออกแบบและปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ใช้บริการ โดยจะพิจารณาจากความสะดวกสบาย ความพึงพอใจ และประสิทธิภาพในการใช้งาน ในมุมมองของ UX การออกแบบจะมุ่งเน้นที่การทำให้ผู้ใช้งานสามารถทำกิจกรรมต่างๆได้อย่างง่าย ไม่รู้สึกสับสน หรืออุปสรรคในการใช้งาน

UI (User Interface)

UI หรือ “การออกแบบอินเตอร์เฟซผู้ใช้” คือการออกแบบหน้าตาของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันให้สวยงามและใช้งานง่าย รวมถึงการจัดวางองค์ประกอบต่างๆ เช่น ปุ่มเมนู ฟอนต์ สีสัน และรูปภาพ ที่ช่วยสร้างประสบการณ์การใช้งานที่ดี UI ที่ดีจะทำให้ผู้ใช้สามารถโต้ตอบกับระบบได้สะดวก รวดเร็ว และรู้สึกผ่อนคลาย ไม่เบื่อ นอกจากนี้ยังช่วยเสริมความสวยงามให้กับผลิตภัณฑ์ ทำให้ผู้ใช้รู้สึกประทับใจในการใช้งาน

บทบาทของ UX/UI ที่สำคัญต่อการพัฒนาเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน

1. การเพิ่มความสะดวกในการใช้งาน

การออกแบบ UX/UI ที่ดีต้องสามารถทำให้ผู้ใช้งานเข้าถึงฟังก์ชันต่างๆของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันได้อย่างรวดเร็วไม่ยุ่งยาก เช่น เมนูที่เข้าใจง่าย ปุ่มที่ใช้สะดวก และข้อมูลที่มีการจัดระเบียบอย่างดี เป็นไปอย่างราบรื่นสามารถสร้างประสบการณ์ที่ดีและทำให้ผู้ใช้มีความรู้สึกว่าใช้งานง่าย

2. การสร้างความพึงพอใจ

การออกแบบ UX/UI ที่ดีจะชาวยสร้างประสบการ์ที่ดีกับผู้ใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นการโหลดหน้าเว็บไซต์ที่รวดเร็ว การมีฟังก์ชันที่สามารถตอบโจทย์การใช้งาน หรือแสดงผลที่เหมาะสมกับทุกอุปกรณ์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้ผู้ใช้งานมีความพึงพอใจ และมีแนวโน้มที่จะกลับมาใช้งานซ้ำหรือแนะนำให้ผู้อื่นรู้จัก

3. การเพิ่มอัตราการเปลี่ยนแปลง (Conversion Rate)

การออกแบบ UI ที่ดีสามารถช่วยเพิ่มอัตราการเปลี่ยนแปลง (Conversion rate) ได้ โดยการจัดตำแหน่งของปุ่ม “Call to Action” (CTA) ที่ชัดเจนและโดดเด่น ปรับปรุงหน้าจอที่รองรับการทำธุรกรรมให้รวดเร็วและปลอดภัย จะทำให้ผู้ใช้มีความมั่นใจและพร้อมที่จะดำเนินการต่อในขั้นตอนที่ต้องการ เช่น การซื้อสินค้า การสมัครสมาชิก หรือการลงทะเบียน

4. ลดอัตราการละทิ้ง (Bounce Rate)

เมื่อผู้ใช้เข้ามาที่เว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน หากการออกแบบไม่เป็นมิตรหรือใช้งานยาก ผู้ใช้มักจะออกจากเว็บไซต์หรือเปลี่ยนแอปพลิเคชันทันทีที่เข้าไป ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการละทิ้งสูง (bounce rate) การออกแบบ UX/UI ที่เข้าใจง่ายและไม่ซับซ้อนจะช่วยเพิ่มอัตราการกดเข้าใช้งาน โดยการทำให้ผู้ใช้งานรู้สึกอยากเข้ามาใช้งานอย่างเต็มที่

5. การทำให้เว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันเข้าถึงได้ง่าย

ผู้ใช้สามารถเข้าถึงเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันได้จากหลากหลายอุปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ มือถือ แท็บแล็ต UX/UI ที่ดีจะต้องรองรับอุปกรณ์และทุกขนาดหน้าจอได้อย่างเหมาะสม ซึ่งหมายถึงการปรับตัวที่ยืดหยุ่น (responsive design) เพื่อผู้ใช้สามารใช้งานได้อย่างสะดวกในทุกสถานการณ์

6. การสร้างความน่าเชื่อถือและความเป็นมืออาชีพ

การออกแบบ UI ที่สบายตาและมีความสอดคล้องกันในทุกๆหน้าจอหรือทุกหน้าเว็บของแอปพลิเคชัน จะทำให้ผู้ใช้รู้สึกถึงความเป็นมืออาชีพและเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับผลิตภัณฑ์นั้นๆ การใช้ฟ้อต์ที่เหมาะสม การเลือกสีที่มีความหมาย หรือการจัดวางองค์ประกอบอย่างลงตัว จะทำให้ผู้ใช้งานรู้สึกว่าการให้บริการของคุณมีความน่าเชื่อถือ และมีความไว้วางใจในการใช้งาน

7. ลดความซับซ้อนและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน

การออกแบบ UX/UI ที่ดีสามารถลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็น หรือการใช้ ฟังก์ชันที่ซับซ้อนเกินไป จะช่วยให้การทำงานหรือการใช้งานของผู็ใช้งานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตัวอย่างเช่น ในการเลือกซื้อสินค้าผ่านเว็บไซต์ หากมีการออกแบบการชำระเงินที่สะดวก รวดเร็ว และไม่ยุ่งยาก จะช่วยลดเวลาในการทำธุรกรรม และทำให้ผู้ใช้รู้สึกพอใจในการซื้อสินค้าหรือบริการ

กระบวนการออกแบบ UX/UI

1. กำหนดเป้าหมาย

ขั้นตอนแรกคือการกำหนดเป้าหมายของผลิตภัณฑ์และกลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการเข้าถึง เช่น ผลิตภัณฑ์นี้มีวัตถุประสงค์เพื่ออะไร และใครคือผู้ใช้งานที่เราต้องการให้เข้ามาใช้งาน การทำความเข้าใจเป้าหมายจะช่วยในการออกแบบผลิตภัณฑ์มีทิศทางที่ชัดเจนและเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย

2. วิเคราะห์ผู้ใช้งาน

ในขั้นตอนนี้จะรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้งาน เช่น ความต้องการ พฤติกรรม และปัญหาที่ผู้ใช้งานเจอ การวิจัยอาจทำให้ผ่านการสัมภาษณ์ การสำรวจ หรือ ศึกษาพฤติกรรม

3. สร้างแผนผังเว็บไซต์

การสร้างแผนผังเว็บไซต์ (Site map) เป็นการออกแบบโครงสร้างของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน เพื่อให้เห็นภาพว่าผู้ใช้งานจะเข้าใช้เว็บไซต์อย่างไร เช่น เมนูหลักต่างๆ และการเชื่อมโยงระหว่างหน้าเว็บ โดยจะออกแบบให้มีความชัดเจนและไม่ซับซ้อน

4. สร้าง Wireframe

Wireframe คือการออกแบบโครงสร้างพื้นฐานของหน้าจอ ไม่เน้นเรื่องการออกแบบสวยงาม แต่เน้นการจัดระเบียบองค์ประกอบต่างๆ เช่น ปุ่ม เมนู และเนื้อหาบนหน้าจอ ซึ่งจะช่วยให้เราเห็นว่าองค์ประกอบต่างๆ จะถูกวางตำแหน่งอย่างไรและช่วยให้สามารถปรับปรุงการใช้งานก่อนลงมือออกแบบจริง

5. ออกแบบ UI

UI Design (User Interface Design) คือการออกแบบส่วนติดต่อผู้ใช้งานจริงๆ โดยเน้นความสวยงามในการใช้งานที่ง่าย และความสอดคล้องกับแบรนด์ เช่น การเลือกสี ฟ้อนต์ การจัดวางปุ่มให้เหมาะสม การออกแบบ UI ต้องทำให้ผู้ใช้งานสามารถตอบกับระบบได้อย่างง่ายและสะดวก

6. ทดสอบ Usability

หลังจากออกแบบเสร็จแล้ว เราจะทำการทดสอบผลิตภัณฑ์กับผู้ใช้จริงเพื่อดูว่าผู้ใช้งานสามารถใช้งานได้สะดวกหรือไม่ การทดสอบ Usability ช่วยหาจุดบกพร่องและปัญหาที่ผู้ใช้อาจเจอในการใช้งาน ซึ่งจะช่วยให้เราปรับปรุงได้ทันที

7. ปรับปรุงและพัฒนา

หลังจากทดสอบเราจะนำข้อมูลจากการทดสอบมาใช้ในการปรับปรุงและพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ดีขึ้นอาจจะเป็นการแก้ไขปัญหาหรือปรับปรุงฟังก์ชันต่างๆให้เหมาะสมกับการใช้งานของผู้ใช้งานมากขึ้น

ตัวอย่างของ UX/UI ที่ดี

แอปพลิเคชันธนาคาร : ใช้งานง่าย มีความปลอดภัยสูง และมีฟังก์ชันการทำงานที่ครบครัน
เว็บไซต์ E-commerce : ออกแบบให้ผู้ใช้สามารถค้นหาและซื้อสินค้าได้ง่าย สะดวก และรวดเร็ว
โซเชียลมีเดีย : มีอินเทอร์เฟซที่สวยงาม ใช้งานง่าย และมีฟีเจอร์ที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้