AI & Mental Health : นักจิตวิทยาเสมือนจริงช่วยลดภาวะเครียดได้จริงหรือ?

AI & Mental Health : นักจิตวิทยาเสมือนจริงช่วยลดภาวะเครียดได้จริงหรือ? image

AI & Mental Health : นักจิตวิทยาเสมือนจริงช่วยลดภาวะเครียดได้จริงหรือ?

ในยุคที่เทคโนโลยี AI กำลังเปลี่ยนแปลงทุกด้านของชีวิต หนึ่งในประเด็นที่น่าสนใจคือ "AI กับสุขภาพจิต" โดยเฉพาะการใช้ "นักจิตวิทยาเสมือนจริง" หรือ Virtual Psychologists เพื่อช่วยบำบัดภาวะเครียดและปัญหาสุขภาพจิต แต่คำถามคือ AI สามารถช่วยได้จริงหรือ? หรือยังมีข้อจำกัดที่เราต้องพิจารณา?

 

 

 

สิ่งที่ควรรู้สำหรับ การใช้ AI ในด้านสุขภาพ

  • นักจิตวิทยาเสมือนจริงหมายถึงอะไร
  • ข้อดีของนักจิตวิทยาเสมือนจริง
  • ข้อจำกัดของ AI ในการบำบัดสุขภาพจิต
  • อนาคตของ AI กับสุขภาพจิต

 

 

 

นักจิตวิทยาเสมือนจริง

นักจิตวิทยาเสมือนจริงคือ AI ที่ถูกพัฒนาให้สามารถสนทนา ให้คำแนะนำ และช่วยบำบัดสุขภาพจิตได้ โดยใช้เทคโนโลยี NLP (Natural Language Processing) และ Machine Learning เพื่อวิเคราะห์และตอบสนองต่ออารมณ์ของผู้ใช้ บางแพลตฟอร์ม เช่น Woebot, Wysa หรือ Replika ได้รับความนิยมในหมู่ผู้ที่ต้องการที่ปรึกษาด้านจิตวิทยาในเบื้องต้น ซึ่งตรงนี้ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่เกิกดจากการใช้งานในการใช้ AI ในด้านสุขภาพ

 

 

 

ข้อดีของนักจิตวิทยาเสมือนจริง

1. เข้าถึงและสะดวกต่อการใช้งาน

  • ทำให้เราประหยัดเวลาในการเดินทางไปหาหมอเพื่อปรึกษาหรือถามอาการต่างๆ
  • สามารถพูดคุยถามอาการได้ตลอด 24 ชั่วโมงเมื่อเกิดข้อสงสัยไม่ต้องรอถึงเวลาทำการ
  • ลดเวลาในการเดินทางไปยังสถานพยาบาล

 

2. ลดค่าใช้จ่าย

  • ปัจจุบันการเข้าพบนักจิตวิทยาเพื่อปรึกษาปัญหาต่างๆจะมีค่าบริการที่สูงมาก
  • AI จะมีแพลตฟอร์มเบื้องต้นที่สามารถขอคำปรึกษาที่ไม่เสียค่าบริการ
  • ลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปยังสถานที่ให้คำปรึกษา

 

3. ความเป็นส่วนตัว

  • ปัจจุบันคนรุ่นใหม่มักไม่ชอบการคุยแบบเจอหน้าการใช้ AI จึงเป็นที่นิยมอย่างมากในการขอคำปรึกษา
  • สามารถถามเรื่องที่ค่อนข้างลึกซึ่งได้อย่างละเอียดโดยที่ไม่ต้องคอยกังวลว่าจะถูกมองยังไงในการเข้ามาปรึกษา

 

4. AI จะมีเทคนิคที่ช่วยให้เราผ่อนคลาย

  • ในเบื้องต้น AI จะมีเทคนิคพิเศษที่สามารถทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายในการใช้บริการข้อคำปรึกษา

 

 

 

ข้อจำกัดของ AI ในการบำบัดสุขภาพจิต

 

1. AI ไม่สามารถเข้าใจอารมณ์เราทุกอย่างได้

  • AI ยังไงก็ยังคงเป็นคอมพิวเตอร์ที่ขาดความเข้าใจถึงความมนุษย์ที่มีจิตใจที่ค่อนข้างอ่อนไหว
  • AI อาจไม่สามารถรับมือกับสถานการณ์ซับซ้อน เช่น โรคซึมเศร้าขั้นรุนแรง หรือภาวะจิตเวชอื่น ๆ

 

2. ขาดความมีมนุษย์สัมพันธ์

  • การพูดคุยกับนักจิตวิทยาจริงมีปัจจัยด้าน "ความเป็นมนุษย์" ที่ AI ไม่สามารถทดแทนได้
  • การสัมผัส การใช้คำพูด ความเห็นอกเห็นใจแบบมนุษย์เป็นสิ่งที่ AI ยังทำไม่ได้

 

3. ความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัว

  • ข้อมูลสุขภาพจิตเป็นเรื่องละเอียดอ่อน หากระบบ AI ไม่ได้ถูกพัฒนาให้ปลอดภัยเพียงพอ อาจมีความเสี่ยงด้านการละเมิดข้อมูล
  • จำเป็นต้องตรวจสอบว่าผู้ให้บริการ AI มีมาตรฐานด้านความปลอดภัยของข้อมูลที่เหมาะสม

 

4. ไม่สามารถใช้แทนมืออาชีพได้ในบางกรณี

  • AI อาจช่วยบรรเทาความเครียดในเบื้องต้น แต่ไม่สามารถวินิจฉัยหรือรักษาภาวะทางจิตเวชที่ซับซ้อนได้
  • ผู้ที่มีอาการรุนแรงยังคงต้องการการดูแลจากนักจิตวิทยามืออาชีพหรือจิตแพทย์

 

 

 

อนาคตของ AI กับสุขภาพจิต

แม้ AI ยังไม่สามารถแทนที่นักจิตวิทยามนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์ แต่มีแนวโน้มว่ามันจะกลายเป็น "ผู้ช่วย" ที่สำคัญในการบำบัดสุขภาพจิต อนาคตของ AI ด้านสุขภาพจิตอาจรวมถึง

 

  • AI ที่ฉลาดขึ้น  เทคโนโลยีจะพัฒนาให้สามารถเข้าใจอารมณ์และปฏิกิริยาของมนุษย์ได้ลึกซึ้งขึ้น

 

  • การผสมผสาน AI กับนักจิตวิทยาจริง  นักจิตวิทยาอาจใช้ AI เป็นเครื่องมือช่วยวิเคราะห์ข้อมูลและให้คำแนะนำ

 

  • การพัฒนา AI เพื่อให้คำปรึกษาเฉพาะบุคคล  AI อาจสามารถปรับการบำบัดให้เหมาะกับแต่ละบุคคลมากขึ้น

 

 

 

นักจิตวิทยาเสมือนจริงเป็นเครื่องมือที่มีศักยภาพในการช่วยลดความเครียดและให้คำแนะนำเบื้องต้นเกี่ยวกับสุขภาพจิต โดยเฉพาะในด้านการเข้าถึงที่ง่าย ความสะดวก และความเป็นส่วนตัว อย่างไรก็ตาม AI ยังมีข้อจำกัดที่ไม่สามารถแทนที่นักจิตวิทยามืออาชีพได้ทั้งหมด ดังนั้น การใช้ AI ร่วมกับการบำบัดแบบดั้งเดิมอาจเป็นแนวทางที่ดีที่สุดในการดูแลสุขภาพจิตของเราในอนาคตไม่ควรพึ่ง AI เป็นหหลักเพียงอย่างเดียว

 

 

 

บทความอื่นๆที่น่าสนใจเพิ่มเติม :

Gen Z กับ AI : เครื่องมือใหม่เปลี่ยนพฤติกรรมการใช้โซเชียลยังไง?

อนาคตของ AI: โอกาสและความท้าทาย

Tag